ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

เผยผลการหารือร่วม ‘สธ.-สปสช.’ ครั้งที่ 3 ติดตามการวางแนวทางสนับสนุนการเบิกจ่าย สนับสนุนการจัดซื้อยาฉีดจิตเวช 32 ล้านบาท การบริจาคและปลูกถ่ายไตและดวงตา พร้อมเตรียมประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาและสนับสนุนหน่วยบริการฯ ครั้งแรกเดือน พ.ค.นี้


นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า สธ. และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีหารือร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาบริการสาธารณสุขในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้มีประสิทธิภาพ สอดรับและตอบสนองต่อความต้องการบริการของประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 29 เม.ย. ที่ผ่านมา ได้หารือร่วมกับ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. พร้อมผู้บริหารทั้ง 2 หน่วยงานเป็นครั้งที่ 3 โดยมีประเด็นสำคัญ 4 เรื่อง

ประกอบด้วย 1. การขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ได้มีการติดตามผลการดำเนินงานและอุปสรรคในช่วงที่ผ่านมา โดยเรื่องการเบิกจ่ายผ่าน MOPH Financial Data Hub ที่เป็นความร่วมมือระหว่าง สธ. และ สปสช. ซึ่งเริ่มเมื่อวันที่ 1 เม.ย. ที่ผ่านมา ข้อมูลล่าสุดถึงวันที่ 28 เม.ย. 2567 มีการเชื่อมข้อมูลกับหน่วยบริการในสังกัด สธ. ครบทั้ง 902 แห่ง (100%) ส่วนหน่วยบริการสังกัดกรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค กรมสุขภาพจิต และกรมอนามัย เชื่อมข้อมูลได้ 57 แห่ง (84%) มีการส่งข้อมูลเบิกจ่ายแล้ว 898 แห่ง สามารถนำส่งข้อมูลไปยังระบบประมวลผลของ สปสช.ได้ครบถ้วน และ สปสช.อนุมัติและโอนเงินสำเร็จ 

สำหรับข้อกังวลจากหน่วยบริการเกี่ยวกับการได้รับเงินชดเชยค่าบริการสาธารณสุข สปสช. แจ้งว่าจะเป็นไปตามการขับเคลื่อนนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ฯ แต่ละระยะ โดยระยะที่ 1 และ 2 รวม 12 จังหวัด มีการตรวจสอบผ่านระบบ On Screen Review สามารถโอนเงินให้หน่วยบริการได้ภายใน 72 ชั่วโมง แต่หน่วยบริการที่นอกเหนือจากนี้ ยังต้องใช้ระบบตรวจสอบเดิมที่ใช้เวลาไม่เกิน 45 วัน จึงเสนอให้ สปสช. จัดทำ Dashboard เพื่อติดตามกำกับข้อมูลการเบิกจ่ายทั้งหน่วยบริการนำร่องใน 12 จังหวัด และหน่วยบริการอื่นๆ โดยให้ สปสช. พิจารณาใช้ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการเบิกจ่าย เพื่อไม่ให้การจัดสรรงบประมาณล่าช้า และไม่เป็นภาระของหน่วยบริการ 

นอกจากนี้ ยังมีการเสนอ (ร่าง) แผนการขับเคลื่อน 30 บาทรักษาทุกที่ฯ ในพื้นที่ กทม. ซึ่งในที่ประชุมเสนอทีม สปสช. ให้ขอความคิดเห็นร่วมกับกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นผู้ร่วมรับผิดชอบดำเนินการเป็นหลัก

2. ยาฉีดจิตเวช สำหรับผู้ป่วยจิตเวชที่มีความเสี่ยงสูงก่อความรุนแรงต่อสังคม (SMI-V) ซึ่งเป็นยาฉีดออกฤทธิ์ยาวคุณภาพสูง ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติร่วมกันให้ดำเนินการ โดยในระยะแรกมีงบประมาณจาก สปสช. จำนวน 32 ล้านบาท เพื่อใช้ในการซื้อยา และกรมสุขภาพจิตสมทบอีก 7 แสนบาท เพื่อใช้ในการเก็บข้อมูล และกำกับ ติดตาม ผลการดำเนินงาน 

3. การผลักดันการดำเนินงานด้านการรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ ได้แก่ ไตและดวงตา ให้มีการสนับสนุนงบประมาณสำหรับบุคลากร และปรับสิทธิประโยชน์จากกองทุนสุขภาพให้เหมาะสม 

4. คณะอนุกรรมการพัฒนาและสนับสนุนหน่วยบริการในการให้บริการสาธารณสุขภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อให้เกิดการรับฟังความคิดเห็นของฝั่งผู้ให้บริการในการพัฒนาระบบหรือสิทธิประโยชน์ต่างๆ นั้น จะมีการจัดประชุมครั้งแรกภายในเดือน พ.ค.นี้