ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

มากกว่าการส่งสัญญาณ แต่ถือเป็นข้อสั่งการครั้งสำคัญ เมื่อนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ได้กล่าวมอบนโยบายต่อ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข (สธ.) อย่างชัดเจน เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2567 ว่า ขอให้ สธ. แก้ไขประกาศกระทรวง โดยดึงกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดประเภท 5 และเร่งออกกฎกระทรวงอนุญาตให้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ด้านการแพทย์และสุขภาพเท่านั้น

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ในฐานะองค์กรวิชาการได้ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) จัดเวทีนำเสนอผลการวิจัยในประเด็น “ผลกระทบทางสังคมและสุขภาพ จากการประเมินและกำกับติดตามนโยบายกัญชา” ซึ่งเป็นข้อมูลวิชาการส่วนหนึ่งภายใต้ชุดโครงการประเมินและกำกับติดตามผลกระทบต่อสังคมและสุขภาพจากนโยบายกัญชา โดยกิจกรรมจัดขึ้น ณ ห้องประชุมการะเกด โรงแรมแมนดาริน เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2567 

ศ.ดร.พญ.สาวิตรี อัษณางค์กรชัย คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หัวหน้าโครงการวิจัย ให้ข้อมูลงานวิจัยว่า ชุดโครงการประเมินและกำกับติดตามผลกระทบต่อสังคมและสุขภาพจากนโยบายกัญชา เป็นชุดโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ ผลกระทบ และมาตรการที่เกิดขึ้นในประเทศไทยหลังจากมีการประกาศนโยบายกัญชาของกระทรวงสาธารณสุข ในปี 2565 รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์แต่ละด้านในช่วง 1-2 ปีแรก ภายหลังมีการอนุญาตให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ โดยมีกรอบแนวคิดการประเมินฯ ในประเด็นผลกระทบด้านต่างๆ เช่น ผลกระทบทางสุขภาพ, ผลกระทบด้านอาชญากรรม, ผลกระทบทางเศรษฐกิจ และผลกระทบอื่นๆ 

จากผลการประเมินและกำกับติดตามนโยบายกัญชา นับตั้งแต่ที่มีการเปลี่ยนแปลงสถานะกัญชา พบว่า สถานการณ์ด้านการจำหน่ายกัญชาในประเทศไทย ณ เดือนเมษายน พ.ศ. 2567 มีจุดจำหน่ายกัญชา 7,747 จุด โดยเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2566 ที่มีจุดจำหน่าย 5,600 จุด 

นอกจากจุดจำหน่ายกัญชาแล้ว ยังมีการจำหน่ายและการโฆษณากัญชาในช่องทางออนไลน์ โดยแพลตฟอร์มที่มีการโพสต์จำหน่ายหรือโฆษณาผลิตภัณฑ์กัญชามากที่สุด ได้แก่ Twitter เฟซบุ๊ก และไลน์ ตามลำดับ หรือแม้แต่แพลตฟอร์มจำหน่ายสินค้า เช่น Shopee และ Lazada ก็มีการจำหน่ายและโฆษณาขายผลิตภัณฑ์กัญชา ซึ่งการขยายตัวของตลาดกัญชา ส่งผลให้เกิดการเข้าถึงการซื้อและใช้กัญชามากขึ้น โดยพบว่า ประชาชนไทยอย่างน้อย 1 ใน 4 คน สามารถเข้าถึงจุดจำหน่ายกัญชาหรือผลิตภัณฑ์กัญชาอย่างน้อยหนึ่งจุดในรัศมี 400 เมตร รอบบ้าน และ 1 ใน 11 คน อยู่ในครัวเรือนที่มีการปลูกกัญชาในบ้าน 

ทั้งนี้ ด้านการใช้พบว่า ประชาชนไทยอย่างน้อย 1 ใน 5 เคยใช้กัญชา และส่วนใหญ่ใช้เพื่อนันทนาการ โดยประชาชนวัยผู้ใหญ่เพศชาย 20-35% และเพศหญิง 10-15% ใช้กัญชาอย่างน้อยหนึ่งครั้งในช่วงเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา คิดเป็นความชุกรวมประมาณ 20% ของการใช้กัญชาทั้งหมด ในขณะที่เยาวชนนอกสถานศึกษา 47.60% เคยลองใช้กัญชา ซึ่งมีความชุกมากที่สุดเมื่อเทียบกับนักเรียนมัธยมและนักศึกษาระดับปริญญาตรี โดยเยาวชนมักใช้กัญชาร่วมกับสารเสพติดอื่น เช่น สุรา ยาสูบ กระท่อม และสาเหตุอันดับต้นของการเริ่มใช้กัญชาในเยาวชนยังคงเป็นความอยากรู้อยากลอง 

ศ.ดร.พญ.สาวิตรี กล่าวต่อว่า จากข้อมูลวิจัยในด้านมุมมองของสังคมต่อกัญชา “การสำรวจความคิดเห็นสาธารณะในสื่อสังคมออนไลน์ และข่าวอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับกัญชาในหนังสือพิมพ์ ก่อนและหลังการออกนโยบายกัญชา” ซึ่งเป็นโครงการย่อยภายใต้ชุดโครงการวิจัยดังกล่าว พบว่า มีความเปลี่ยนแปลงไป 

ช่วงปี 2561-2562 มีมุมมองไปในทิศทาง กัญชาเป็นยาวิเศษและเป็นพืชเศรษฐกิจ ต่อมาช่วงปี 2564-2566 ประชาชนไทยเกือบครึ่งหนึ่งมองว่า กัญชาเป็นสารเสพติดที่น่ารังเกียจน้อยกว่ายาเสพติดผิดกฎหมายชนิดอื่น โดยนักศึกษามหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ ทราบว่ากัญชาเสพติดได้ แต่มีเพียงส่วนน้อยที่ทราบว่ากัญชามีผลต่อสมอง หัวใจ และสุขภาพจิต นอกจากนี้ยังพบผลกระทบของการใช้กัญชา โดยเฉพาะคดีอาชญากรรมเพิ่มสูงขึ้นหลังปลดล็อกกัญชา รวมทั้งการใช้กัญชาไม่เพียงแต่มีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ใช้เอง แต่ยังรบกวนชีวิตของคนอื่นในครอบครัว เพื่อนบ้าน และเจ้าพนักงานฝ่ายต่างๆ 

ด้าน นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กล่าวว่า ที่ผ่านมาแม้ว่าจะเห็นประโยชน์ของกัญชาในทางการแพทย์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการปลดล็อกเรื่องการใช้กัญชา หากแต่หลังจากการปลดล็อกในเชิงนโยบายแล้ว จำเป็นต้องมีองค์ความรู้มาประกบคู่ขนานกับการดำเนินงานตามนโยบาย เพื่อเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

ข้อมูลจากงานวิจัยภายใต้ชุดโครงการดังกล่าว มีความสำคัญต่อการกำกับ ติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้เพื่อใช้ในการพิจารณาการกำหนดกฎหมายหรือการดำเนินมาตรการต่างๆ โดยคำนึงถึงประโยชน์ทางการแพทย์ควบคู่กับความปลอดภัยจากการใช้กัญชาเป็นสำคัญ